ความเป็นมาของกีฬาว่ายน้ำ


การว่ายน้ำสามารถถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์มีความสามารถในการว่ายน้ำมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะในกลุ่มที่อาศัยอยู่ตามชายทะเล แม่น้ำ ลำคลอง และที่ราบลุ่มต่าง ๆ เช่น ในภูมิภาคเอสซีเรีย อียิปต์ กรีก และโรมัน ซึ่งมีการฝึกฝนทักษะการว่ายน้ำตั้งแต่ก่อนคริสตกาล


นอกจากนี้ ชนชาติสลาฟและชนชาติสแกนดิเนเวียยังมีการว่ายน้ำแบบเฉพาะ โดยใช้เท้าเคลื่อนไหวในน้ำคล้ายกับกบว่ายน้ำ หรือที่เรียกกันว่า “ฟล็อกคิก” แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้ความเร็วในการว่ายน้ำลดลง การว่ายน้ำได้มีการพัฒนาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีหลักฐานการบันทึกไม่มากนัก ราล์ฟ โทมัส (Ralph Thomas) ได้กล่าวถึงการว่ายน้ำในอดีตว่าเป็นวิธีที่ใช้ในการข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามหรือเพื่อความปลอดภัยในกรณีเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะการใช้ท่ากลับแขนเหนือน้ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและเรียกกันว่า “ท่าว่ายน้ำแบบทรัดเจน”


ภาพรวมโดยย่อของกฎระเบียบกีฬาว่ายน้ำในโอลิมปิก


ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก รายการว่ายน้ำจัดขึ้นในสระที่มีความยาว 50 เมตร การแข่งขันว่ายน้ำในโอลิมปิกประกอบด้วยท่าว่ายน้ำ 4 ท่า ได้แก่ ท่ากบ ท่าผีเสื้อ ท่าคว่ำ และท่าฟรีสไตล์ โดยท่าฟรีสไตล์มักหมายถึงท่าฟรอนต์ครอว์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากใช้ในการแข่งขันฟรีสไตล์


ดังนั้น คำว่า “ฟรีสไตล์” จึงมักใช้เป็นคำพ้องความหมายกับท่าฟรอนต์ครอว์ อีกหนึ่งประเภทการแข่งขันคือ การแข่งขันผสมสี่ท่า (Mixed Medley) ซึ่งนักว่ายน้ำจะสลับใช้ท่าต่าง ๆ ตามลำดับ การแข่งขันมีระยะทางที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ 50 เมตร ไปจนถึง 1500 เมตร โดยต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันไปตาม ความรวดเร็ว ความอึด ความแข็งแรง และเทคนิคเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับนักกีฬาว่ายน้ำ


ประวัติศาสตร์ของกีฬาว่ายน้ำในโอลิมปิก


กีฬาว่ายน้ำได้มีการจัดการแข่งขันในทุกโอลิมปิกสมัยใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น โดยการแข่งขันครั้งแรกจัดขึ้นในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ (นักว่ายน้ำแข่งขันในอ่าวเซอาในโอลิมปิกที่กรุงเอเธนส์ ปี 1896) แต่ตั้งแต่โอลิมปิกปี 1908 ที่กรุงลอนดอน การแข่งขันได้เปลี่ยนมาใช้สระว่ายน้ำเป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้มีการก่อตั้งสหพันธ์ว่ายน้ำสากล (Fédération Internationale de Natation หรือ FINA ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม World Aquatics)


ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1896 การแข่งขันว่ายน้ำมีเพียงประเภทฟรีสไตล์เท่านั้น ต่อมามีการเพิ่มการแข่งขันท่ากบและท่าคว่ำในโอลิมปิกที่เซนต์หลุยส์ในปี 1904 และท่าผีเสื้อถูกเพิ่มเข้ามาอีก 52 ปีต่อมาที่โอลิมปิกที่เมลเบิร์นในปี 1956 การแข่งขันว่ายน้ำสำหรับผู้หญิงได้เข้าร่วมในโปรแกรมโอลิมปิกในปี 1912 โดยเริ่มต้นด้วยสองประเภท แต่ในปัจจุบัน รายการแข่งขันสำหรับผู้หญิงและผู้ชายในกีฬาโอลิมปิกมีความเหมือนกัน โอลิมปิกว่ายน้ำได้ถูกครอบงำโดยนักกีฬาเจ้าของเหรียญทองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการคว้าเหรียญทองมากกว่า 250 เหรียญ


นักว่ายน้ำระดับตำนานในโอลิมปิก


1. ไมเคิ่ล เฟลป์ส (Michael Phelps) สหรัฐอเมริกา


นักกีฬาที่โดดเด่นที่สุดในโอลิมปิกคือไมเคิ่ล เฟลป์ส (Michael Phelps) หรือที่รู้จักในชื่อ “เดอะ บัลติมอร์ บุลเล็ต” นักว่ายน้ำชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิก เฟลป์สคว้าเหรียญทองได้ 13 เหรียญในประเภทเดี่ยว และอีก 10 เหรียญในประเภททีมผลัด รวมทั้งสิ้น 23 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง ตลอดการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 4 สมัย ตั้งแต่ปี 2004 ถึงปี 2016 ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือในโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ปี 2008 ซึ่งเขาคว้าเหรียญทองได้ถึง 8 เหรียญ ท่าที่เขาถนัด ได้แก่ ท่าผีเสื้อ ท่าฟรีสไตล์ และท่าผสมเดี่ยว


2. คริสติน่า อีเกอร์สเซกี้ (Christina Egerszeki) ฮังการี


นักว่ายน้ำสาวชาวฮังการีเป็น 1ใน 4 ของนักกีฬาว่ายน้ำระดับโลก อีก 2 คนคือดาวน์ เฟรเซอร์ (Down Fraser) ไมเคิ่ล เฟลป์ส (Michael Phelps) และล่าสุดคือเคธี่ เลเด็คกี้ (Katie Ledecky) ที่สามารถป้องกันเหรียญทองในท่าดีเด่นประเภทเดี่ยวในโอลิมปิกได้ถึง 3 สมัย


เธอเลือกใช้ท่ากรรเชียง 200 เมตร ซึ่งเป็นท่าที่เธอถนัด ในโอลิมปิก 3 สมัยที่โซล 1988 ที่ประเทศบาร์เซโลนา 1992 และแอตแลนต้า 1996 เธอคว้าเหรียญทองจากท่ากรรเชียง 200 เมตรทั้งหมด 5 เหรียญ พร้อมด้วยเหรียญเงินและเหรียญทองแดงอีกอย่างละ 1 เหรียญ นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของสถิติโลกครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 17 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักว่ายน้ำชาวฮังการีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโอลิมปิกสมัยใหม่